Mercedes-Benz GLC โฉมใหม่มากับดีไซน์ที่มีพลังพร้อมความทันสมัยมากขึ้น
หลังทำตลาดรถเอสยูวีหรู GLC เจเนเรชันแรกมาตั้งแต่ปี 2015 ตอนนี้ทาง Mercedes-Benz เผยโฉมรุ่นใหม่ GLC ออกมาแล้ว ซึ่งเจเนเรชันที่สองของรถเอสยูวีรุ่นนี้หรือรุ่นที่ 3 หากนับต่อเนื่องจาก GLK มาพร้อมกับการออกแบบที่มีพลังพร้อมเต็มไปด้วยเทคโนโลยี
Mercedes-Benz GLC ใหม่ถูกระบุว่าออกแบบภายนอกโดยรวมเอาเอกลักษณ์ที่คลาสสิกของรถเอสยูวีไม่ว่าจะเป็นแผ่นกันกระแทกโครเมียม รูฟเรล รวมทั้งบันไดข้างซึ่งเป็นออฟชันเสริม เข้ากับรูปทรงที่ให้ความสมดุลย์ระหว่างความงาม ความสปอร์ต และสมรรถนะด้านออฟโรด โดยจุดเด่นที่ด้านหน้าของรถอยู่ที่ไฟหน้าใหม่ที่ถูกออกแบบให้มีความต่อเนื่องมาจากกระจังหน้าพร้อมกับเน้นความกว้างของรถ ส่วนด้านหลังของรถมาพร้อมไฟท้ายทรงเรียวที่ทันสมัยมากขึ้นและกันชนหลังที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง โดยรถยังมาพร้อมกับคิ้วสีดำแต่งด้วยโครเมียมที่ด้านข้างของรถ
ในด้านมิติของรถ GLC ใหม่มีความยาวเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 60.96 มม. ด้วยความยาว 4,716 มม. ส่วนระยะฐานล้อมีความยาวเพิ่มขึ้น 15 มม. ด้วยตัวเลข 2,888 มม. ขณะที่ความกว้างของรถเท่ากับรุ่นก่อนที่ 2,888 มม. แต่มีความกว้างของระยะล้อหน้าเพิ่มขึ้น 6.09 มม. และเพิ่มขึ้น 23.11 ที่ล้อหลังเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่ความสูงของรถเอสยูวีหรูรุ่นใหม่อยู่ที่ 1,640 มม. ลดลงจากรุ่นที่แล้ว 4 มม.
ห้องโดยสารของ GLC มาพร้อมกับความทันสมัยด้วยจอระบบ Infotainment ในแบบแท็บเล็ตขนาด 11.9 นิ้วที่คอนโซลกลาง ส่วนจอแสดงข้อมูลผู้ขับแบบดิจิตอลมีขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว โดยทั้ง 2 จอในห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีลักษณะลอยตัว และยังลดปุ่มควบคุมต่างๆ ที่เป็นปุ่มจริงๆ ในบริเวณคอนโซลกลางลงเหลือแต่ปุ่มสัมผัสใต้จอระบบ Infotainment
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ในห้องโดยสารของ GLC มีทั้งการมาพร้อมกับทั้ง Apple Carplay, Android Auto, เบาะปรับความอุ่นได้ ระบบชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สาย รวมไปถึงระบบสแกนลายนิ้วมือ แต่หากต้องการความทันสมัยขึ้นก็มีการแสดงข้อมูล Head-up Dis[lay ซึ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Transparent Hood ซึ่งหากเลือกติดออฟชันนี้จะสามารถใช้จอระบบ Infotainment เพื่อดูภาพด้านหน้ารถแบบเรียลไทม์ รวมไปถึงล้อและตำแหน่งการเลี้ยวของล้อได้เพื่อช่วยให้ความมั่นใจในการขับบนเส้นทางออฟโรด
GLC มี 6 ทางเลือกของเครื่องยนต์โดยเป็น 3 รุ่นไมลด์ไฮบริดและ 3 รุ่นปลั๊กอินไฮบริด เริ่มตั้งแต่ GLC 200 4Matic และ GLC 300 4Matic ซึ่งทั้ง 2 รุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรพร้อมระบบไมลด์ไฮบริด โดยรุ่นแรกมีกำลัง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ขณะที่รุ่นหลังมีกำลัง 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่วนอีกรุ่นไมลด์ไฮบริดคือ GLC 220d 4Matic ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ให้กำลังขับเคลื่อน 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ทั้ง 3 รุ่นจะมีระบบไฟฟ้าช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อน 23 แรงม้า และเพิ่มแรงบิด 200 นิวตัน-เมตร
สำหรับรุ่นปลั๊กอินไฮบริดทั้ง 3 รุ่นซึ่งมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 100 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตัน-เมตร และมีแบตเตอรีขนาด 31.2 kWh เริ่มต้นจาก GLC 300 e 4Matic และ GLC 400 e 4Matic ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่รุ่นแรกเครื่องยนต์กับมอเตอร์ให้กำลังขับเคลื่อนรวม 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ส่วนรุ่นหลังมีกำลังขับเคลื่อนรวม 381 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร ขณะที่อีกรุ่นปลั๊กอินไฮบริดคือ GLC 300 de 4Matic ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรให้กำลังขับเคลื่อนรวม 335 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตร โดย GLC 300 e และ 400 e มีระยะการเดินทางโดยไม่ปล่อยมลพิษถึง 120 กิโลเมตร ขณะที่ GLC 300 de เดินทางได้ถึง 102 กิโลเมตรโดยไม่ปล่อยมลพิษ และ GLC ทุกรุ่นเครื่องยนต์ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ส่งกำลัง
ทาง Mercedes-Benz จะผลิต GLC ใหม่ 3 แห่งโดยเริ่มต้นที่โรงงานในเมืองเบรเมน เยอรมนีก่อน แล้วจึงตามด้วยโรงงานที่ Sindelfingen และจะมีการผลิคที่โรงงานในปักกิ่งประเทศจีนภายในปีนี้